รู้จำกับรู้จริง
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๖๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ถาม : เรื่อง “หลงทิศ”
กราบเท้าหลวงพ่อ การภาวนาที่วัดครับ ก่อนมามีปัญหาค่อนข้างเยอะ ใช้เวลาเป็นวันค่อยๆ เคลียร์ขยะในใจตัวเอง ตกดึกที่สองยังใช้พุทโธสลับปัญญาอบรมสมาธิ พอสามทุ่ม ไปนึกถึงคำในหนังจีน “ทะเลทุกข์ไร้ขอบเขต หันหลังกลับจะเห็นฝั่ง” ขนลุกรุนแรง แล้วลมหายใจมันก็ละเอียดลงมา คราวนี้เดินพุทโธต่อไปได้โดยไม่ต้องผลักดันอะไรมาก
พอออกจากทางจงกรมมานั่งทวนครับ รู้สึกช่วงที่ผ่านมาพยายามแก้ปัญหาที่รายล้อมจนเครียด คิดว่าถ้าแก้ได้จะมีความสุข เพิ่งเข้าใจว่าโง่ครับ เดินหาสุขมันก็ย่ำไปบนทุกข์ เพราะหลงผิดครับ
คำถาม
เข้าใจว่าที่เรามาเป็นปัญญาโลก ขอหลวงพ่อชี้ข้อบกพร่องด้วยครับ
ตอบ : ใช่ ปัญญาโลกแน่ๆ อยู่แล้ว ปัญญาโลกๆ ปัญญาอบรมสมาธินั่นคือปัญญาโลก ปัญญาอบรมสมาธิก็คือปัญญาเราไง
เราเกิดมาบนโลก เราเกิดมาจากพ่อจากแม่คือโลก โลก โลกียะ อยู่บนโลกนี้ ถ้าอยู่บนโลกนี้ เราปฏิเสธสิ่งนี้ไม่ได้ เพราะเราจะกำจัดสิ่งนี้ เราถึงต้องเริ่มต้นจากสิ่งนี้ แล้วถ้ามันเข้าไปสู่โลกุตตระ มันก็เข้ามากำจัดสิ่งที่โลกียะนี้ไง นี่มันเป็นโลกทั้งสิ้น
แต่เราไม่ต้องบอกว่า อู๋ย! เราใช้ปัญญาแล้วจะเป็นโลกุตตระ เราไม่ต้องไปให้ชื่อมันหรอก ถ้าอย่างนี้นะ ทุกข์ตายเลย ทุกข์ตายเลยว่าอันนี้เป็นโลกียะ อันนี้เป็นโลกุตตระ เพราะอะไร เพราะเราไม่มีหน้าที่ไปแยกแยะว่าเป็นโลกียะหรือโลกุตตระ
เราเริ่มต้นจากจุดปัจจุบันของเรา เราเริ่มต้นจากหัวใจของเรา เราเริ่มต้นจากทุกข์ของเรา เราเริ่มต้นจากชีวิตของเรา แล้วในชีวิตปัจจุบันนี้มันเป็นอะไรล่ะ มันก็เป็นโลกไง เราเกิดมากับโลก เราอยู่บนโลกนี้ไง ถ้าเราอยู่บนโลกนี้ เราก็เริ่มต้นจากตรงนี้ ถ้าเริ่มต้นขึ้นจากตรงนี้แล้วถ้ามันเจริญงอกงามขึ้นไป มันก็จะพัฒนาขึ้นไป
แล้วถ้ามันจะพัฒนาขึ้นไปมันก็เป็นอย่างนี้ อย่างที่ว่าเริ่มต้นมันทุกข์ แต่มันพัฒนาขึ้นไปมันก็เริ่มยันกัน จากทุกข์ เสมอกัน เห็นไหม เวลามันทุกข์ พอมันเสมอกันคือว่ามันเหมือนกับว่ารับรู้ได้ แต่ก็ไม่ถึงกับทุกข์ แล้วถ้ามันชนะไป ทุกข์มันจะดับลง มันเหลือแต่ความสุขๆ ความสุขแบบว่ามันเป็นอิสระ มันไม่มีสิ่งใดไปเกาะเกี่ยวมัน
ฉะนั้น เวลามาภาวนาๆ เราก็เริ่มต้นจากปัจจุบันนี้แหละ ไม่ต้องไปเกร็ง ส่วนใหญ่ที่ไปวัดไปวาเพราะตั้งใจไง อาทิตย์นี้จะไปปฏิบัติที่วัด ถ้าไปปฏิบัติที่วัดแล้วมันจะได้อย่างนั้นๆๆ แล้วมาถึงที่วัดแล้ว โอ้โฮ! คอตกเลย ไม่ได้อย่างนั้นน่ะ เพราะเราไปคาดหมายไว้ไง
ฉะนั้น เวลามาวัดมาวา เราจะไปวัด เวลาไปวัดแล้วเราจะไปประพฤติปฏิบัติ แล้วเราประพฤติปฏิบัติก็เริ่มต้นจากปัจจุบันนี้ มาถึงก็เก็บข้าวเก็บของ เตรียมที่นอน เตรียมทางเดินจงกรม แล้วเราก็เดินไปทางจงกรม มันจะได้สิ่งใดขึ้นมามันก็เป็นความดีงาม ถ้าไม่ได้สิ่งใดขึ้นมา เราก็เป็นชาวพุทธ เป็นชาวพุทธที่ไม่ใช่ชาวพุทธที่ทะเบียนบ้าน เป็นชาวพุทธในหัวใจ เห็นไหม
เวลาชาวพุทธเราถึงเวลาแล้ว ทาน ศีล ภาวนา เราจะมีการรักษาศีล เราจะมีการประพฤติปฏิบัติ เวลาเราปฏิบัติถ้าไม่ได้สิ่งใดเลยก็เป็นการปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้ามันได้ผลขึ้นมา นั่นก็คือวิบาก คือผลที่เกิดจากเหตุ เกิดจากการกระทำที่ดีงาม ถ้าเกิดจากการกระทำที่ดีงามก็สาธุ นี่ก็เป็นประสบการณ์ต่อเนื่องไปๆ
แล้วเวลาคนที่ไปวัดไปวาก็เป็นอย่างนี้ เวลาไปวัดไปวาขึ้นมา เวลาขี้เกียจไม่อยากจะทำ คนนู้นก็ชวนไป คนนี้ก็ชวนไป ก็เผลอไปทำกับเขา พอเผลอไปทำกับเขา มันเกิดสงบขึ้นมาไง โอ๋ย! มันติดใจ มันอยากได้ ทีนี้จะไปวัดจะไปเอาอย่างนั้นอีก ไม่ได้แล้ว ไปจนตาย เพราะไอ้ความอยากนั้นน่ะมันทำให้ไม่ได้ ไอ้ความอยากนี้มันคือกิเลส กิเลสมันจะตลบหลัง มันจะหลอกมันจะลวง มันจะล่อให้เราล้มลุกคลุกคลาน แล้วกิเลสมันล้มลุกคลุกคลานเรื่องอะไร
เพราะว่าเรามีศรัทธามีความเชื่อ เราอยากจะไปประพฤติปฏิบัติใช่ไหม เวลาถ้าเราอยากประพฤติปฏิบัติ ถ้าเป็นตามความเป็นจริง เราจะได้มรรคได้ผล เราจะพ้นจากกิเลสไปไง กิเลสมันก็ล่อมันก็ลวงไง ไปปฏิบัติที่วัดแล้วมันจะได้อย่างนั้นๆ แล้วพอเวลาไปทำตามกิเลสแล้วกิเลสมันก็ล่อมันก็ลวงอย่างนั้นน่ะ เราก็พลิกแพลงไปอย่างนั้นน่ะ จนกว่าเราเบื่อหน่ายไง นี่ผลงานของมัน
พอเราเบื่อหน่าย เออ! เข้าทางเขาหมดเลย เลิกดีกว่า ต่อไปนี้กูไม่ไปแล้วล่ะวัด โอ้โฮ! มีแต่ทุกข์ฉิบหายเลย กูไปสนุกกูดีกว่า
กิเลส ผลงานของมัน มันทำโดยที่ไม่ให้เรารู้เลยนะ แล้วเราโดนมันเชือดคอตายไม่รู้ตัวเลย เชือดคอศรัทธา เชือดคอความมั่นคงของเรา เชือดคอหลักเกณฑ์ของเรา มันเชือดคอหมดเลย แล้วคอขาดตายอยู่ที่นั่นเลย “เลิกดีกว่า ถ้ากูรู้อย่างนี้กูไม่มาก็ดี”
เวลาคนผิดหวังนะ “ถ้ากูรู้อย่างนี้กูไม่มา ถ้ากูรู้อย่างนี้”
“ถ้ากูรู้อย่างนี้” ก็กิเลสนี่ไง มันปั้นมันแต่งเวลามันไปถึงที่ไง ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างนี้ แล้วเราไม่ทันมัน
“มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา”
ความคิดเรามันต่ำกว่าดำรินะ ดำริเริ่มต้นจากความคิดนะ
“มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา”
เราจะไปวัดไปวา กิเลสมันก็ไปด้วย เราจะไปเที่ยวสนุกของเรา กิเลสก็ไปด้วย เราจะไปไหนกิเลสมันก็ไปด้วย แต่เราไปวัดไปวาแล้วเราไปตั้งสติ สติธรรม สมาธิธรรม ปัญญาธรรม สติธรรม สมาธิธรรม ปัญญาธรรมมันจะหักห้ามกิเลสไง
ถ้าหักห้ามกิเลส เวลาเริ่มต้นเราภาวนาขึ้นไปแล้วมันสู้มันไม่ได้ มันก็ล้มลุกคลุกคลานขึ้นมาหมด พอสติ สมาธิ ปัญญาเราเข้มแข็งขึ้น ยันกันได้ ยันกันได้ เออ! อย่างนี้ก็ดีเหมือนกันเนาะ อย่างนี้ก็ดีเหมือนกันเนาะ นี่ยันกันได้
แต่ถ้าเราพุทโธต่อเนื่อง เราปฏิบัติต่อเนื่องไป ถ้าวันไหนมันสงบ มันเป็นความจริงแล้ว สติธรรม สมาธิธรรม ปัญญาธรรม สัจธรรมที่มันมีอยู่ แต่ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ เหตุที่มันสมควรแก่ธรรมนั้นมันจะได้ธรรมนั้น
เหตุที่มันไม่สมควรแล้วกิเลสมันยังซ้ำซ้อนพลิกแพลงทำให้เราล้มลุกคลุกคลานไง เหมือนคำถามนี้ เวลามาวัดมาวาขึ้นมาต้องมาเคลียร์ปัญหาที่มันรายล้อมใจอยู่มากมาย เคลียร์จนคืนที่หนึ่ง คืนที่สอง
เวลาเคลียร์นี่มันเคลียร์ เวลาธรรมมันผุดไง เวลาธรรมมันผุด เราเคลียร์ เราพยายามต่อต้านยันกับความรู้สึกนึกคิดสิ่งที่มันสะสม คือกิเลสที่มันพอกพูนไว้ในใจไง เราสู้กับมันเพลินเลยนะ เวลาธรรมมันผุดไง
เวลาธรรมมันผุดนะ “ทะเลทุกข์ไร้ขอบเขต หันหลังแล้วจะเห็นฝั่ง”
เราพยายามเคลียร์ปัญหา เวลาธรรมมันผุดไง ธรรมมันผุดมันไม่ใช่สิ่งที่เราจงใจเราตั้งใจว่ามันจะเป็นธรรมขึ้นมา เราตั้งใจเราจงใจ เป้าหมายมันผิดหรือมันถูก เวลาธรรมมันผุดขึ้นมา พอเวลาธรรมมันผุดขึ้นมา โอ้โฮ! มันขนลุก เขาว่านะ ขนลุกเลย เวลาขนลุกขึ้นมา ทีนี้ภาวนาง่ายแล้ว
เพราะสิ่งที่ว่าเวลาธรรมมันผุด สัจธรรมมันแสดงตัว สัจธรรมแสดงตัว กิเลสมันอาย อย่างเช่นเรา ถ้าเรารู้หน้ากิเลส เราเห็นกิเลส กิเลสมันจะอาย ส่วนใหญ่แล้วกิเลสมันจะหลอกมันจะลวง มันจะแอบมันจะซ่อนอยู่ใต้ความคิดเราไง จะเป็นอย่างนั้นๆๆ แต่ไม่เป็นสักอย่างหนึ่ง แต่ก็เชื่อ
เวลาธรรมมันผุดอย่างนี้ นี่ธรรมมันผุด พอธรรมมันผุดขึ้นมา สิ่งที่ความคิดเวลาธรรมมันผุดเพราะเราใช้ปัญญาอบรมสมาธินะ เวลาธรรมมันผุดขึ้นมาคือปัญญามันเกิดขึ้น พอปัญญาเกิดขึ้น นี่คำถามว่า เป็นปัญญาทางโลกใช่ไหม
มันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ มันเป็นปัญญาทางโลก ปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาอบรมสมาธิเกิดจากโลก เกิดจากสิ่งที่ว่าโลกียะ เกิดจากสามัญสำนึก ไม่ต้องไปรังเกียจ ไม่ต้องไปเดียดฉัน ไม่ต้องว่า “สิ่งนี้เราไม่ต้องการ เราไม่ต้องการโลกียะ เราต้องการโลกุตตระ”
เราก็ต้องสะสมอย่างนี้ของเราไป ทำประสบการณ์ให้ดีขึ้น ทำให้ดีขึ้น ถ้ามันพัฒนาขึ้น มันดีขึ้นไป ต่อไปมันจะรู้เท่ารู้ทันความคิดมันจะเกิด
เราภาวนามา ลูกศิษย์ลูกหาบอกประจำ ถ้าไม่เท่าทันนะ โอ้โฮ! มันคิดนะ มันโถมใส่ ความรู้สึกนึกคิดนี้ ความทุกข์ความยาก โอ้โฮ! ล้มลุกคลุกคลานเลยล่ะ แต่ถ้ามันมีสติปัญญาเท่าทันมันนะ เวลามันจะคิดน่ะ นั่นแน่ะ แน่! มันหยุดเลยนะ เราเห็นแม้แต่มันจะเริ่มคิด
เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติมาแล้วท่านบอก มันเสวยไง จิตนี้มันต้องอาศัยเกาะเกี่ยวกับสัญญาอารมณ์ พอมันเสวยอารมณ์มันก็เป็นความคิดเราขึ้นมา แต่ถ้าสติปัญญาเราทันนะ แน่ะๆๆ มันอายม้วนต้วนเลย ความคิดไม่เกิด
ถ้าปัญญาอบรมสมาธิมันจะต่อเนื่องไปอย่างนี้ เริ่มต้นมันคิดแล้วคิดอีก คิดแล้วคิดอีกก็ไม่เป็นไร จับความคิดนั้นไว้ นั่นคือผล คือวิบาก คือสัญญาอารมณ์ที่มันคิดแล้ว คิดแล้วก็จับไว้แล้วพิจารณา ย้อนกลับไง
คิดหาเหตุผลจนเหตุผลของธรรมมันชนะกว่า มันก็เบาลง เบาลงจนมันไม่คิด แล้วถ้ามันชำนาญขึ้นอย่างที่ว่านี่ มันจะนั่นแน่ะๆ ก่อนจะคิดมันรู้เท่านะ แล้วมันก็จะไล่ไปเรื่อย แล้วนั่นแน่ะๆ แล้วทำอย่างไรต่อ
พุทโธต่อเนื่องไป
พอมันหยุดแล้วมันจะทำอย่างไรต่อไป
ถ้ามันหยุดแล้วนะ เพราะธาตุรู้ สิ่งที่ถูกรู้ ธาตุรู้มันทรงอยู่ตัวมันเองไม่ได้ ความรู้สึกเรา ความรู้สึกเฉยๆ มันทรงตัวเองไม่ได้ มันต้องคิดโดยธรรมชาติของมัน เวลามันคิดขึ้นมา ถ้าพอมันหยุดแล้วมันจะทำอย่างไรถ้ามันยังไม่มีกำลังไง
ก็พุทโธ พุทโธคือพุทธะ พุทโธคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็เอาความรู้สึกของเราเกี่ยวกับพุทโธไว้ แล้วถ้าพุทโธๆ ได้ก็แจ๋วเลย ถ้าพุทโธไม่ได้ก็กลับมาใช้ปัญญาไล่กับมัน นี้คือปัญญาอบรมสมาธิ
มันเป็นโลกๆ หรือไม่
ใช่ แต่มันเป็นบาทฐานเป็นพื้นฐานสมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน อย่างที่เราพูด ถ้าหาหัวใจของเราไม่ได้ หาเจ้าหนี้ไม่เจอ เราจะไปแก้ไขอะไรกัน
เราก็หาใจของเรา สมาธิคือใจของเรา ถ้าใจของเรามันเป็นสัมมาสมาธิ นั่นน่ะคือตัวใจแท้ๆ ใจของเรา แล้วสมาธิแก้กิเลสไม่ได้ สมาธิแก้กิเลสไม่ได้ ใจของเราจะแก้ใจเราได้อย่างไรล่ะ
ใจของเราต้องใช้ปัญญา ใจของเราต้องใช้มรรค ใจของเราต้องใช้ศีล สมาธิ ปัญญา
ศีล สมาธิ ปัญญา เริ่มต้นก็ต้องฝึกหัด เวลาฝึกหัดขึ้นมา หลวงตาท่านใช้คำว่า “วิปัสสนาอ่อนๆ”
คือฝึกหัดใช้ปัญญาอ่อนๆ เหมือนทารก เหมือนเด็กไร้เดียงสา ความไร้เดียงสาเวลามันเกิดปัญญาขึ้นมานี่ขนลุกเลย มันไร้เดียงสา มันยังทรงตัวไม่ได้ แต่ฝึกหัดไปๆ นะ จากทารกมันก็จะเป็นเด็กโตขึ้นมา จากเด็กโตขึ้นมาฝึกหัดบ่อยครั้งเข้ามันก็จะเป็นวัยรุ่น วัยทำงาน
พอฝึกหัดจนมันเข้มมันแข็งมันแก่กล้าขึ้นมา ทั้งปัญญา ทั้งพร้อมกับสมาธิ พร้อมกับสติ มันฝึกหัดบ่อยครั้งเข้าๆ ตทังคปหาน ปหานชั่วคราวๆ รู้เท่าทันชั่วคราว รู้เท่าทันบ่อยๆ รู้เท่าทัน รู้เท่าทันจนฝึกหัดใช้ปัญญา เหมือนงานช่าง งานช่างทำบ่อยๆ ทำซ้ำๆ มันจะชำนาญ
นี่ก็เหมือนกัน งานการฝึกหัดปฏิบัติทำซ้ำๆ ทำซ้ำๆ
แล้วทำไมต้องซ้ำๆ ล่ะ
ซ้ำๆ ก็ฝึกหัดให้ใจมันเข้มแข็งไง
นี่พูดถึงว่า สิ่งที่ว่าคำถามว่า สิ่งที่เล่ามาเป็นปัญญาทางโลกใช่หรือไม่
ใช่ แต่มันก็เป็นธรรมผุดขึ้นมา แล้วก็เป็นประโยชน์ไง เป็นประโยชน์กับเราฝึกหัดขึ้นมา มันก็มีประสบการณ์ ประสบการณ์ในการประพฤติปฏิบัติของเราเรื่อยไป ถ้าเราไม่ได้ฝึกหัดเราก็ไม่มีประสบการณ์ นี่คือภาคปฏิบัติ
ปริยัติศึกษาแล้วมันก็มีความรู้ ไอ้นี่ปฏิบัติ ปฏิบัติให้เราฝึกหัดหัวใจขึ้นมา ให้หัวใจเราเข้มแข็งขึ้นมา ให้หัวใจเราทำของมันจนมันรู้จริงตามความเป็นจริงอันนั้น จบ
ถาม : เรื่อง “ยอมรับแล้วว่าผมผิดครับ”
กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพ ผมขอบพระคุณหลวงพ่อที่ช่วยตอบปัญหาเรื่อง “ทิ้งแหวนเพชร” ครับ หลังจากที่ได้ฟังคำตอบจากหลวงพ่อแล้ว ในช่วงเข้าพรรษาก็พยายามปฏิบัติให้ต่อเนื่องไปครับ ผลที่ได้จนต้องมาสารภาพกับหลวงพ่อว่า ๕ ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่ผมพยายามทำมาผิดหมด ไม่รู้จะด่าตัวเองอย่างไรแล้วครับ หลวงพ่อช่วยด่าต่อด้วย
รายงานผลดังนี้ครับ
๑. นั่งสมาธิกำหนดคำบริกรรมพุทโธๆ
๒. เมื่อจิตเริ่มตั้งมั่นแต่ไม่สงบถึงที่สุด ยังมีสติรับรู้ชัดถึงคำบริกรรมพุทโธๆ อย่างต่อเนื่อง สักพักก็รับรู้ถึงความสงบเย็นและแสงสว่างภายในตัวเองที่เกิดขึ้น แต่ก็ยังคงมีคำบริกรรมพุทโธๆ อย่างต่อเนื่อง กำกับอยู่ตลอดเวลาที่นั่ง เป็นอย่างนี้ในช่วงประมาณเกือบหนึ่งสัปดาห์ รู้สึกจิตใจภายในมีความสุขมากๆ ครับ
๓. พอเข้าในช่วงสัปดาห์ถัดไปก็ทำเหมือนกับข้อที่ ๑. คือนั่งสมาธิกำหนดบริกรรมพุทโธ แต่ผลที่ได้กลับไม่เหมือนข้อที่ ๒. คือความสงบเย็นและแสงสว่างภายในตัวเองที่เกิดขึ้นไม่มี หายไป กลับได้ความฟุ้งซ่าน อึดอัด คับแค้นใจเข้ามาแทนที่มากขึ้น
เราก็พุทโธๆ ชัดๆ แล้ว ทำเหมือนเดิมแทบทุกอย่างเลย เหมือนที่หลวงพ่อสอนนึกเทียบเคียงให้เหมือนในหนังสือในตำราบางเล่ม อ่านแล้วตรงจิตเรา และบางทีจะให้เหมือนที่เราเรียนรู้มาจากประวัติพระพุทธเจ้า แต่ก็ไม่สงบ ไม่สามารถทำให้จิตสงบลงได้เลย เวรกรรมอะไรที่ใช้เวลาอยู่หลายชั่วโมง บอกตัวเองว่าเหนื่อยแล้ว เหนื่อยมากจนจะลุกจากการนั่งและความเจ็บความปวดเริ่มมีเข้ามา แต่ก็ลองตั้งสติใหม่ สักพักหันกลับมามองแล้วถามตัวเองอีกรอบ ผลที่ได้คือ
หลวงพ่อ : คำถามซ้อนคำถามนะเนี่ย
ถาม : ๑. ไหนมึงบอกว่ามึงไม่ต้องการความสงบ ความว่าง ความสว่างไง ที่มึงอยากได้นี้อยากได้มาก
๒. มึงเชื่อว่า ความสงบ ความว่าง ความสว่างนี้คือนิพพานใช่ไหม
ใช่เลย
๓. มึงเชื่อว่าสภาวะสงบ ว่าง สว่าง นี้เป็นนิพพานเหมือนที่เขาสอนกันมานี่หว่า
เชื่อมาก
๔. มึงคิดและเชื่อว่ามึงเอากิเลสอยู่ เพราะมึงนั่งปฏิบัติพุทโธๆ ทำมาตลอดหลายปี มึงเชื่อศรัทธาในคำสอนของหลวงพ่อ ในหนังสือในพระพุทธเจ้าว่า ถ้าหากมึงทำตามที่สอนครบถ้วนด้วยความมุมานะบากบั่น มึงต้องได้ความสงบ ความว่าง ความเย็น ความสว่าง เป็นผลตอบแทนตัวมึงใช่ไหม
ใช่เลย
๕. มึงเชื่อว่าตัวมึงมีปัญญาที่สุดเลย เพราะมึงฟังมามาก อ่านมามาก คิดวิเคราะห์มามาก และพยายามปฏิบัติให้มาก ไม่มีสิ่งใดเทียบเคียงได้ ถ้าหากมีกิเลสโผล่มาสักตัว จะฆ่าฟันให้หมดสิ้น มึงเชื่อแบบนั้น
ใช่ เชื่อแบบนั้นเลย แล้วจะทำไม นิ่งไปเล็กน้อย
๔. เออ! นี่ไงๆ จนได้นะมึง แสดงให้เห็นกันไปเลยว่า มึงนี่มันรักมันชอบ มันอยากดูแลถนอมรักษาความสงบ สว่าง ว่างเอาไว้ และมึงไปสร้างภาพบวกกับความเชื่อว่านี่คือนิพพาน นี่ไง ความรู้ ความรู้ของมึงนี้คิดว่าเป็นความรู้ที่สูงสุด ได้มาจากหลวงพ่อ หนังสือสารพัดตำรา รวมถึงการที่มึงปฏิบัติมาหลายปี มึงคิดมาตลอดว่ามึงถูกต้อง ที่แท้มึงเคลือบไปด้วยความเชื่อของมึงเอง และความเชื่อก็กลายเป็นความยึดติดอยู่ในใจของมึงตลอดเวลา
นี่ไง ปัญญา ปัญญาของมึงที่มึงว่ามันสุดยอด ที่ผ่านมาทั้งหมดมันเป็นปัญญาที่เต็มไปด้วยความยึดมั่นถือมั่นตลอดเวลา ทั้งยามหลับยามตื่น ทั้งการนั่งปฏิบัติภาวนาหรือเดินจงกรม นี่ไง โง่ๆๆ แล้วยังอวดตัวเปรียบเทียบตัวมึงเองว่าเก่งกว่า เลิศกว่า ปัญญาดีกว่ากิเลสที่มีในตัวมึง จะฆ่ากิเลสให้วอดวายตายสิ้นทั้งหมด น่าสมเพช น่าสมเพชในปัญญาตัวมึงจริงๆ มีความเห็นผิดและยึดมั่นถือมั่นตลอดเวลา
ยิ่งพอได้ย้อนเข้ามาดูแล้วเห็นความสกปรกที่สุดในปัญญาที่เคยเชื่อมั่นว่าดีเลิศ ปัญญาอะไร ปัญญาสกปรกนี่ไงๆ สภาวะตรงข้ามมันก็แสดงให้เห็นว่า สงบไม่สงบ ว่างไม่ว่าง สว่างมืด มึงก็ดันไปหลงโง่หลงงมอยากได้อยากมีอยากเป็น อยากครอบครองมันอยู่ได้
๕. สรุป หลวงพ่อครับ ผมยอมรับแล้วครับ กราบเท้าสารภาพกับหลวงพ่อครับว่า ที่ผ่านมาผิดหมดเลยครับ เอาสิ่งที่บ้าๆ บอๆ อะไรก็ไม่รู้มาพิจารณา มาอวดตัว มาข่มคนอื่น สิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ สิ่งที่เจือไปด้วยความเห็นผิดและเต็มไปด้วยความสกปรกของการยึดมั่นถือมั่น มันไม่บริสุทธิ์จริงๆ เอาสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ไปทำสมาธิ ไปพิจารณา ไปทำอะไรต่อมิอะไร ผลที่ได้มันก็ไม่บริสุทธิ์ แล้วก็โง่นะ โง่งมไปหลงใหลได้ปลื้มกับผลที่ได้ สมควรโดนด่า สมควรให้หลวงพ่อด่าจริงๆ ครับ เขกกะบาลตัวเองเป็นสิบๆ ครั้ง
หลวงพ่อก็เทศน์สอนอยู่ว่า อย่านะ อย่า อย่าเชื่อ อย่าเชื่อเด็ดขาด
ทุกครั้งที่เทศน์ที่สอน เสียงหลวงพ่อก็ดังหนักแน่นดุจหินผา ย้ำแล้วย้ำอีก แต่กว่าจะพบจะเจอจนซึ้งในหัวใจแล้วต้องมานั่งคอตกและยอมรับลงใจว่าตัวเองทำผิด ทำผิดมาตลอดเกือบ ๕ ปีเต็ม ก็เพราะได้มาพุทโธๆ นี่แหละครับ
คนอื่นเขาหาว่าบ้า อะไรๆ ก็พุทโธๆ ยันเต
สงบบ้างไม่สงบบ้าง แต่ก็เพราะพุทโธนี่แหละถึงพบว่า ๕ ปีที่ผ่านมาไม่ได้อะไรเลยครับ ๕ ปีที่ผ่านมาเห็นผิดมาตลอด ๕ ปี นี่โง่เง่าเต่าตุ่นมาตลอด
หลวงพ่อครับ ที่สำคัญผมไม่เคยนั่งจนพุทโธหายไปเลยครับ ต่อจากนี้จะพยายามทำให้ได้ครับ สุดท้ายนี้ ผลที่ได้ผิดพลาดประการใด กราบเท้าหลวงพ่อช่วยชี้แนะ พร้อมแสดงธรรมให้เป็นที่ประจักษ์แก่ตัวผมผู้ด้อยปัญญาด้วยครับ
ตอบ : ไอ้นี่คำแรกเลย ไอ้ที่พุทโธหาย พุทโธหาย ไอ้พุทโธหายมันก็จะเป็นบาปกรรมครั้งที่สองอีกน่ะ
พุทโธหาย พุทโธหายถึงเวลามันจะเป็น มันเป็นของมันเอง ไม่ต้องไปตั้งใจว่าพุทโธจะหายหรือพุทโธจะไม่หาย
เวลาเราตั้งเป้านะ พุทโธๆๆ จนพุทโธหายเลย...ไม่ต้อง พุทโธไปเถอะ
เวลาพุทโธไป พุทโธคือคำบริกรรม นวกรรมคือการทำงาน คนเราทำไร่ไถนานะ เราไถๆๆ ไถอยู่นั่นแหละ ดูซิว่าดินมันจะร่วนซุยไหม ถ้าดินมันร่วนซุย ผลถึงสมควรแก่การปักดำ มันก็ปักดำได้ เรามีหน้าที่ไถๆๆ ไม่ใช่ว่าพอเอาคันไถลงดิน โอ้โฮ! เดี๋ยวมันจะละเอียดแล้ว จนไถไม่ได้เลย นี่เราไปคิดไปคาดไปหมายกันก่อนไง
ฉะนั้น ไอ้ที่ว่าหลงมา ๕ ปีแล้วด่าตัวเอง นี่เห็นด้วย เขกกะบาล เขกเลย เขกกะบาล นี่ศิษย์โง่ เขกกะบาลเพราะอะไร เพราะกิเลสมันหลอก เชื่อกิเลสไง เชื่อตัวตน เชื่อเราเอง นี่เขกแรงๆ
แล้วต่อไปจนลมหายใจหาย เดี๋ยวต้องเขกตัวเองอีก เขกหัวตัวเองอีกรอบหนึ่ง เพราะอะไร เพราะเดี๋ยวพุทโธๆ แล้วมันจะแกล้งหายไง
พุทโธหายมันมีสองประเด็น
ประเด็นหนึ่งคนปฏิบัติไปแล้วนะ เพราะเป้าหมายของเราคือพุทโธหายไง มันก็นั่งจนง่วง นั่งจนเบื่อแล้วมันก็คร่อกๆ หายไปเลย หายไปนั่งหลับ
อีกอย่างหนึ่งมันไม่หาย แล้วพยายามจะทำให้มันหาย มันก็เลยเป็นการผูกมัดตัวเองจนเกินไป
เป้าหมายของมันคือพุทโธจนพุทโธไม่ได้
แต่เวลาพุทโธๆ พุทโธจนละเอียดนะ ละเอียดขนาดไหน ใครๆ ก็บอกละเอียดๆ ละเอียดจนเป็นอากาศใช่ไหม จับอะไรไม่ได้เลย
ละเอียดขนาดไหนมันก็รู้ได้ ละเอียดก็ต้องรู้ว่าละเอียด หยาบก็ต้องรู้ว่าหยาบ กลางก็รู้ว่ากลาง ละเอียดจนละเอียดสุดก็รู้ว่าละเอียดสุด ละเอียดสุด ละเอียดจนมันพุทโธไม่ได้เลย พยายามแล้วมันไม่ได้เลย จนมันพุทโธไม่ได้ มันหายไป แต่ผู้รู้ก็เด่นชัด เด่นชัดในแบบว่าสักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่ารู้นี่อัปปนาสมาธิ สิ่งนี้มันใช้วิปัสสนาไม่ได้ แต่มันเป็นหลักฐานในการประพฤติปฏิบัติ
ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ
อัปปนาสมาธินั่นคือพุทโธๆๆ จนพุทโธไม่ได้เลย
แล้วถ้าก่อนจะพุทโธไม่ได้นะ มันจะมีเล่ห์กลมาก เดี๋ยวตายนะ เดี๋ยวทำงานไม่ได้นะ มันจะมีกิเลสมาล่อลวงนะ มารผจญ มารมันจะผจญมากตอนที่มันจะหาย แล้วมันทำให้หายไม่ได้ แล้วไม่หาย คนภาวนามันจะรู้ ไม่ใช่ว่ามึงทำแล้วใครจะได้ เป็นไปไม่ได้
หลวงตาพูดประจำ ไอ้ที่ว่าพุทโธหาย อัปปนาสมาธิทำได้น้อยมาก แล้วแทบจะทำกันไม่ได้เลย
แต่ไอ้นี่มาพูดกันปากเปียกปากแฉะ คือมันแกล้งหายไง กูก็หายได้ กูไม่คิดเลย หาย ใครๆ ก็แกล้งหาย ไอ้ที่หายๆ คือแกล้งหายทั้งนั้น
คำว่า “แกล้งหาย” คือมันไม่หาย ถ้ามันไม่หายคือมันไม่มีผลตอบรับ มันไม่มีองค์ความรู้ของอัปปนาสมาธิ มันไม่มีความจริงในใจที่เป็นอัปปนาสมาธิ มันถึงพูดผิดๆ ถูกๆ กันอยู่นี่ไง
คนที่เป็นอัปปนาสมาธิมันเป็นกลางหัวใจ เรารู้เอง
โทษนะ เหมือนเราไปโดนผีหลอก แล้วคนบอกว่าไม่มีผีหลอกๆ มันก็พูดไปสิ แต่กูโดนหลอกน่ะ ไอ้คนไม่เคยโดนผีหลอกมันไม่ยอมรับว่าผีมีนะ ไม่มีหรอก วิทยาศาสตร์ไม่มีๆๆ แต่เรา โอ้โฮ! มันยืนทับหัวกูเลย ไม่มีได้อย่างไร
นี่ไง มันพูดให้คนอื่นรู้ไม่ได้ ไอ้คนไม่เคยโดนผีหลอกมันไม่เชื่อหรอก ผีไม่มีๆๆ แต่ไอ้คนโดนผีหลอก กูเจอมาเอง กูโดนมาทั้งนั้นเลย
อัปปนาสมาธินะ ไอ้คำว่า “ผีหลอก” มันพูดถึงผลการที่มันได้ตามจริงนั้น พุทโธจนพุทโธหาย ถ้ามันหายนะ มันจะเริ่มละเอียดก่อน มันเริ่มจนแบบว่าเราชักสงสัย เราก็พุทโธมาตลอดแล้วสติมันดีไง แล้วอยู่ดีๆ มันจะหาย เหมือนเราหายใจอยู่นี่ แล้วลมหายใจมันจะหาย อู๋ย! กูไม่ตายหรือ...หมดเลย พอกูไม่ตายนะ กิเลสมันกระตุก โอ้โฮ! มันแผ่ออกมานะ หยาบอย่างเดิม
แล้วทฤษฎีเป็นอย่างนี้ พระพุทธเจ้าบอกว่าอย่างนี้ แล้วแม่งทุกคนก็เป็นอย่างนี้ ทุกคนก็ต้องตกใจหมด ทั้งๆ ที่เรียนมาแล้วนะ เตรียมตัวมาพร้อมนะ ทุกอย่างพร้อมเลยนะ พอไปเจอความจริงเข้ากระเด็นหมดน่ะ โธ่! กว่ามันจะเป็นนะ
อันนี้เพราะว่าเขาเขียนมานี่ว่าทุกข์ยากมา ๕ ปี อันนี้เราก็เห็นใจมาก แล้วจะบอกว่า แหม! หลวงพ่อ ผมยังไม่เคยพุทโธหายเลย แล้วผมอยากจะหายครับ
กลัวมันจะโดนหลอกอีก ๕ ปีไง ๕ ปีมานี่โดนหลอกมา ๕ ปีแล้วนะ ๕ ปีข้างหน้ามันจะหลอกไปอีกนะ
ไม่ต้องไปคาดหมายอะไรทั้งสิ้น ทำตามความเป็นจริงของเรา ถ้าทำความเป็นจริงของเรา เวลาทำความจริงของเรา เวลาปฏิบัติไป คนที่ไม่เข้าใจก็คือไม่เข้าใจ
อย่างเช่นอวิชชา ทุกคนบอก ในความรู้สึกของชาวพุทธ อวิชชาคือพญามารนะ มันน่ากลัว มันเป็นยักษ์มันเป็นมาร มันน่ากลัวมาก ทุกคนอยากจะทำลายมันไง
แต่เวลาหลวงตาท่านไปเจออวิชชานะ ท่านบอกว่าท่านก็เรียนมาเป็นมหานะ อวิชชาน่าเกลียดน่ากลัวมาก แต่พอไปเจอเข้าจริงๆ มันงง เพราะเราได้ซับไว้ว่ามันเป็นสิ่งที่น่าเกลียดน่ากลัวอย่างสุดที่จะพรรณนา แต่พอไปเจอมันนะ จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส มันสะอาด มันสว่าง ท่านบอกพอไปเจออวิชชา เฮ้ย! ไปหลงใหลกับมันไง อวิชชามันสวยกว่านางสาวจักรวาลอีก เข้าไปติดอยู่นั่นน่ะ
ภาวนามาเกือบเป็นเกือบตายจะฆ่ากิเลสนะ ฆ่าลูกมันมา ฆ่าหลานมันมา ฆ่าลูกมันมา ฆ่าความโลภ ความโกรธ ความหลง ฆ่าแม่ทัพ ฆ่าลูกมันมา พอไปเจอปู่ย่าตายายของมัน “สวัสดีครับ”
ท่านบอกเลยนะ คนที่ภาวนามาแล้วนะ ประสบการณ์ที่ไปเจออวิชชา ไปเจอเจ้าวัฏจักร แล้วก็เข้าใจว่ามันจะเป็นยักษ์มันจะเป็นมาร พอไปเจอเป็นความสว่างไสว ความอภินิหาร ความที่มันทะลุปรุโปร่งไปหมด มันมหัศจรรย์ มหัศจรรย์จนเราหลงไปในตัวมันไง
ท่านบอกว่า พอไปเจออวิชชา ไปยอมจำนนอยู่กับมัน เอาหัวไปซบอวิชชา ไปเคารพอวิชชาเสียอีก
คนภาวนามา ประสบการณ์ชีวิตมันสอนอย่างนี้
ฉะนั้นบอกว่า สิ่งที่ว่าที่ภาวนา ถ้าเรามีแหวนเพชร เรากล้าทิ้งแหวนเพชรหรือไม่ แล้วเขาบอกมานะ พระอรหันต์มีแหวนเพชรสิบนิ้วนะ ถ้าสิบนิ้ว พญามารสิบตัว จากพญามารตัวเดียวนะ เวลาภาวนาไปแล้วไปเจอพญามารทีสิบตัวเลย แล้วกอดไว้เลย กอดพญามารไว้เลย
ข้อเท็จจริงมันเป็นแบบนี้ ศึกษา รับฟัง ค้นคว้ามาทั้งชีวิต แต่พอเวลาไปเจอจริงๆ เข้า เอ๊อะ! เอ๊อะ! ไปเจอจริงๆ เข้า ไม่เข้าใจ เข้าใจทันไม่ไหว
ไม่ทันหรอก ไม่ทันกิเลส เรากล้าพูดเพราะว่าเราฟังหลวงตามาเยอะ เราเก็บข้อมูลมามาก แล้วก็ตั้งป้อมสู้กับมันเต็มที่เลย ไม่เหลือ เรียบร้อย กลิ้งอยู่นั่นน่ะ กว่าจะรู้ได้หลวงตากระทืบแล้วกระทืบอีกจน โอ้โฮ! ลืมตาได้ สะดุ้งตื่นมา เอ๊อะ! เอ๊อะ!
เจออย่างนั้นจริงๆ เวลาไปเจอตัวจริง ไปเจอของจริง เหมือนเช่นนะ เช่น เราประสบอุบัติเหตุเวลาแขนขาดขาขาด เหมือนไม่ขาดนะ มันชา ไม่รู้ตัวหรอก ต้องรอสักพักหนึ่งมันถึงรู้ตัวจริงไหม
ไอ้นี่ก็เหมือนกัน พอไปเจอมันน่ะมันเหมือนอาการชานั่นน่ะ ไม่รู้เหนือรู้ใต้หรอก งง ให้มันเหยียบอยู่นั่นน่ะ ใครย่ำอยู่อย่างนั้นน่ะ แต่อาการแขนขาดขาขาดมันชาพักหนึ่ง สักพักเวลามันเลือดออกหมดแล้วมันปวด มันจะรู้ว่าปวด
ไอ้นี่นะ เวลาไปเจอมันนะ มันชาอยู่อย่างนั้นน่ะ แล้วชาหน้าด้านด้วย ชาจนไม่หายชาสักที ชาอยู่อย่างนั้นน่ะ ไม่รู้สึกตัวมันหรอก นี่ไปเจอแหวนเพชรแล้วว่าของกูๆ อยู่อย่างนั้นน่ะ โอ้โฮ! กูมีสิบวงนะ กูแน่ กูเก่งนะ...ไปยอมจำนนกับอวิชชา
หลวงตาท่านเจอมา คนเจอจริงๆ จะเข้าใจ
แล้วเวลาตำราเขียน อิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท อู้ฮู! เขียนตำรากันเลยนะ
หลวงตาบอก มันไม่เป็นอย่างนี้หรอก มันเกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน ทั้ง ๑๓ หรือ ๑๘ อาการนั้น พับๆๆ ไม่มีสิทธิ์ทันหรอก ไม่มีทาง แต่คนที่เห็นจะรู้
นี่พูดถึงว่า ความจริงกับในทฤษฎี ท่านเขียนไว้ ท่านพูดไว้อย่างนั้น ถูกต้อง แต่ผู้รู้ไปเห็นแตกต่างกันมาก
แล้วเวลาปริยัติคือปริยัติไง เรียนมาแล้วก็ปากเปียกปากแฉะ โอ๋ย! สมาธิหลับตา สมาธิลืมตา
สมาธิหลับตา สมาธิลืมตา ภาษาเรานะ เราสลดมาก ถ้าคนพูดอย่างนี้แสดงว่าไม่เคยเห็นสมาธิ คนเห็นสมาธิจะรู้ว่าสมาธิมิจฉาหรือสัมมาเป็นอย่างไร ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ
ขณิกสมาธิ เหมือนพวกเราที่ทำกันทั่วๆ ไป ขณิกสมาธิคือเล็กน้อย คือพอเป็นไป ขณิกสมาธิมันยังวิปัสสนาไม่ได้ ถ้ายกขึ้นอุปจาระ อุปจาระมันมีรับรู้ได้ อุปจาระเป็นขั้นของการวิปัสสนา แล้วพอเข้าไปอัปปนาสมาธิ อัปปนาสมาธิสักแต่ว่ารู้
สักแต่ว่ารู้คือตัวของตัวเองยังไม่กระจายตัวออก เวลาไปถึงตัวเองมันเป็นสักแต่ว่าตัวเอง เวลาสักแต่ว่า จิตนี้อยู่ในร่างกายนี้ แม้แต่ร่างกายนี้มันยังไม่รับรู้เลย จิตที่ตั้งอยู่บนร่างกายนี้ไม่รับรู้เรื่องร่างกายนี้
คนที่เข้าอัปปนาสมาธิ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่รับรู้อะไรเลย อายตนะนี้ไม่รับรู้ จะลมพัด จะฆ่าตาย จะทำอย่างไรก็ไม่รับรู้ มันสักแต่ว่าอยู่ในใจตัวนั้นตัวเดียว แล้วมันจะเป็นวิปัสสนาได้อย่างไร
นี่ไง เวลาบอกว่า สมาธิลืมตา สมาธิหลับตา อัปปนาสมาธิให้วิปัสสนา
ฟังแค่นี้นะ เหมือนกับนักวิชาการที่ยิ่งใหญ่แต่ไม่รู้ถึงพื้นฐาน เป็นไปไม่ได้ นักวิชาการที่ยิ่งใหญ่ พื้นฐานของวิชาการมันต้องรู้ทั้งนั้น ไม่รู้ขึ้นมาจะทำตัวขึ้นมา ศึกษาขึ้นมา ค้นคว้าขึ้นมาจนเป็นนักวิชาการได้อย่างไร
แต่นักวิชาการบอกว่า สมาธิหลับตา สมาธิลืมตา
เราช็อกเลยนะ แต่ไม่พูด เฉยๆ แต่มันเป็นเครื่องหมายบอกว่า นักวิชาการนี้แม้แต่พื้นฐานเขาก็ไม่รู้ แล้วเขาจะเป็นนักวิชาการได้อย่างไร
แล้วเขาก็บอกนะ “ใครๆ ก็ไม่เชื่อฉันนะว่าฉันเป็นพระอรหันต์ ฉันเป็นพระอรหันต์ ไม่มีใครเชื่อเราเลย เราเป็นพระอรหันต์”
เวลาเขาพูดออกมานะ ไอน์สไตน์ยังพูดดีกว่าเยอะ ไอน์สไตน์ยังบอกเลย ถ้าเลือกนับถือได้จะนับถือพระพุทธศาสนา คือวิชาการทางโลกมันเป็นวิชาการ ชีววิทยา การเกิดการกำเนิดของชีวะ นักวิทยาศาสตร์อธิบายได้ดีกว่ามากเลย แต่เขาก็เป็นปุถุชน
นี่เราบอกว่าจะรู้ทางนี้ มันเป็นไปไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่มรรค มรรคไม่เป็นอย่างนี้หรอก ที่เขาพูดไม่เข้าหลักการของมรรค ๘ ไม่เข้าหลักการของสัจธรรม ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์
เขาไม่รู้จักทุกข์ เพราะเขาไม่เห็นกิเลส เขาถึงดับทุกข์ไม่ได้ ถ้าเขาจะดับทุกข์ได้ เขาต้องรู้วิธีการดับทุกข์ วิธีการดับทุกข์คือมรรค ๘ แต่เขาพูดมานี่มันไม่ใช่มรรค ๘ ไม่ใช่มรรค ๘ ธรรมดานะ เขาจะเอามรรค ๘ ไปตัดทิ้งตัดทอนด้วย
มันเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะอะไร เพราะคนไม่เคยมีมรรค ๘ จริงมันถึงกล้าตัดกล้าทอนได้ แต่คนถ้ามีมรรค ๘ จริง เหมือนเรามีชีวิตนี้ เราจะไปตัดทอนความเป็นชีวิตของเราได้อย่างไร เพราะชีวิตมันคือชีวิตไง มรรคคือมรรคไง แล้วมึงไปตัดมรรคได้อย่างไร ถ้าตัดมรรคก็เป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิต มันจะมีชีวิตได้อย่างไร มันก็เป็นมรรคไปไม่ได้ไง
นี่พูดถึงว่าเพราะมันไม่รู้ เรื่องนั้นมันถึงได้จบสิ้นไป
นี่เหมือนกัน เวลาปฏิบัติๆ มา เราถึงบอกว่า สิ่งที่ว่าให้หลวงพ่อพูดต่อเนื่อง ให้หลวงพ่ออธิบายถึงสิ่งที่ทำมา ไอ้สิ่งที่ว่าทำมาครั้งแรก ว่าพุทโธๆ คำว่า “พุทโธๆ” แล้วเวลาเขาบอก “อะไรๆ ก็พุทโธ พุทโธยันเตเลย อะไรๆ ก็พุทโธ”
พุทโธคือพุทธะ พุทธานุสติ พุทธานุสติพยายามจะกลับเข้าไปสู่หาจิตของตน
ไม่มีวิธีการเข้าไปสู่หาจิตของตน ไม่มีวิธีการทำสมาธิ มันจะเป็นสมาธิขึ้นมาได้อย่างไร มันมีแต่ความเผอเรอ ไอ้ที่เขาบอกว่า ว่างๆ ว่างๆ คือเขาเผลอ ไม่คิด เผลอ เผลอแล้วสบายๆ เห็นไหม มันเป็นสมาธิไปไม่ได้
คนเผลอแล้วสบาย เหมือนคนขับรถแล้วหลับใน ไม่ต้องขับ ไม่ต้องบังคับพวงมาลัย ลงข้างทางหมดน่ะ มันเป็นไปไม่ได้ คนขับรถต้องควบคุมพวงมาลัย ต้องควบคุมเบรก ควบคุมคันเร่งอย่างดี ควบคุมรถให้ได้ มันสบายไหม ขับรถเขาต้องตั้งสติพร้อม
นี่ก็เหมือนกัน เวลามรรคมันจะเดินไปมันต้องมีการดูแลรักษา แล้วมรรคมาจากไหนล่ะ
นี่ไง “อะไรก็พุทโธๆ”
ก็ต้องหาผู้รู้ก่อน ถ้าหาผู้รู้แล้วนะ เวลาปัญญามันเกิด เพราะอะไร เพราะบอกว่า สิ่งที่รู้ สรุปว่าตัวเองผิดมา ๕ ปี ก็เพราะพุทโธนี่ไง เพราะอะไร
เพราะถ้าไม่มีพุทโธ มันก็เป็นสัญญาอารมณ์ที่เราจะคิดของเราไป เราพิจารณาของเราไปโดยความชอบของเรา ว่าอย่างนี้เลย โดยความชอบ โดยมุมมอง โดยทัศนคติของเรา
แต่ถ้ามาพุทโธๆ จนจิตสงบแล้วมันจะเป็นทัศนคติของเราไม่ได้ เพราะอะไร เพราะจิตมันตั้งมั่น จิตเป็นสัมมาสมาธิ จิตเป็นกลาง มันไม่มีความชอบและความไม่ชอบ แล้วเวลาถ้ามันยกขึ้นสู่วิปัสสนามันจะเป็นความจริง แล้วมันจะเป็นผู้ที่มีอำนาจวาสนาหรือไม่มีอำนาจวาสนานะ
ถ้ามีอำนาจวาสนา ขิปปาภิญญา ผู้ที่ปฏิบัติง่ายรู้ง่าย ผู้ที่ปฏิบัติง่ายรู้ยาก ผู้ที่ปฏิบัติยากรู้ง่าย มันต้องอยู่ที่อำนาจวาสนาของคนเหมือนกัน ถ้ามีวาสนาของคนแล้ว ความไม่เท่ากันเกิดจากอำนาจวาสนา แล้วจะมาเสมอกันเท่ากัน เป็นไปได้อย่างไร
“ประชาธิปไตยๆ” ไอ้นี่มันสูตรสำเร็จ สำเร็จรูปไง อย่างที่เขาทำกัน นี่ไง ที่บอกว่าเรียนมา ๕ ปี เราศึกษามามาก เราเรียนมามาก เรามีความรู้มาก เราคิดความรู้นั้นแล้วทะนงตนถือตน เอาความรู้ของเราไปข่มคนอื่นอีก อวดอ้างตัวเอง เห็นไหม
หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ ครูบาอาจารย์ หลวงตา พอท่านสำเร็จแล้ว “จะสอนเขาอย่างไร” ไม่ใช่อวดอ้างนะ ยังเป็นกังวลว่า มุมมองทัศนคติของโลกกับธรรมมันไม่เหมือนกัน แล้วเราพยายามจะชักนำอย่างไรให้เขาเข้ามาเป็นธรรมได้
เขาพยายามจะอ่อนน้อมถ่อมตน พยายามจะทำตัวให้เป็นน้ำซึมซับเพื่อประโยชน์กับสังคม ไม่ใช่ไปอีโก้อวดกัน “ฉันเป็นพระอรหันต์นะ ใครๆ ก็ไม่เชื่อว่าฉันเป็นพระอรหันต์น่ะ”
โอ้โฮ! เวรกรรม ขนาดนี้มันแปลกมากๆ ความเป็นพระอรหันต์มันไม่อยากอวด อยากดัง อยากใหญ่ อยากข่มขี่ใครหรอก
นี่เขาบอกความเห็นของเขา มันอวดรู้อวดเห็นไง เอาความเห็นไปข่มคนอื่น แต่ที่ผลสรุปอีก ๕ ข้อว่ามึงอยากดัง มึงอยากใหญ่ มึงอยาก เพราะอะไร เพราะเขาบอกเขามาพุทโธถึงได้ความรู้อย่างนี้
คำว่า “พุทโธ” นะ พยายามพุทโธๆ ให้ใจมันเป็นกลาง สัมมาสมาธินี่นะมันเป็นสากล จิตของคนมันเป็นสากล แต่ความเป็นสากล คนจะเข้ามาสากลอันนี้ได้ บางคนอย่างหยาบ บางคนอย่างกลาง บางคนอย่างละเอียด เข้าสู่สากลได้ง่าย เข้าสู่ความเป็นจริงไง
ความสากลคือความเสมอภาค สิ่งมีชีวิตชีวะมันเท่ากัน แต่กิเลสหยาบกิเลสหนานี้มันต่างกัน เวลาหยาบหนาต่างกันจะเข้าสู่สากล เข้าสู่ความเป็นกลาง มันถึงเข้าได้ยากเข้าได้ง่ายแตกต่างกัน ถ้าแตกต่าง พอเข้าถึงสากลนี้แล้วรักษาความเป็นสากลได้ยากอีก
เพราะความเป็นสากลเป็นความเสมอภาค แต่เพราะเรามีแรงกระตุ้นความอยากไม่อยาก มันจะดึงให้เข้าสู่ทัศนคติเข้าสู่มุมมองของตน เวลาเข้าสู่สากล เข้าสู่สมาธิมันถึงเจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญ รักษาได้ยาก แต่เพราะการเข้าถึงสากลอันนี้ มันถึงได้เห็นความผิดพลาดของตัวนี่ไง
เพราะคำว่า “พุทโธๆ” ถ้ามันเข้าสู่สากลได้จริง เข้าสู่สัมมาสมาธิได้จริง เข้าสู่ความเป็นกลางได้จริง มันก็จะเห็นความแตกต่างจากการเข้าและการออกนี่ไง แล้วมันก็มีทัศนคติที่ถูกต้องดีงามขึ้นมา
ถูกต้องว่า ผมผิดไป ๕ ปีเลย หลวงพ่อช่วยด่าผมด้วย
ไม่ด่าหรอก ด่าแต่กิเลสของคน ด่าแต่มุมมองที่เห็นผิด สิ่งที่เห็นผิด ทัศนคติที่ผิด เราจะพูดถึงตรงนั้น แต่ถ้ามันเข้ามาสู่ที่ถูก ไปด่าใคร
นี่ไง ความเสมอภาคเป็นสากลไง คนเท่ากับคนไง ความดีเท่ากับความดีไง แต่เวลาที่ด่า ด่าที่มุมมองทัศนคติที่เลวทรามที่ไปข่มขี่ข่มเหงทำลายคนอื่นไง นั่นด่า ด่าตรงนั้น ด่าความเห็นผิดของคนที่ทำร้ายคน แต่ความถูกต้องดีงาม จะไปด่าใคร
ฉะนั้น สิ่งที่ถูกต้องดีงามแล้วเราก็รักษาของเราไว้ นี่พูดถึงว่าถ้าความดีงามนะ ถ้าความดีงามเป็นสิ่งที่ดีงาม
แล้วทีนี้เวลาเราเห็นแล้วเขาบอกว่า ต่อจากนี้จะพยายามทำให้ได้ ทำให้ดีขึ้น
อันนี้สาธุนะ แล้วพุทโธของเราไป พุทโธเรื่อยๆ
ไอ้พุทโธหายนี่เราเป็นห่วง ถ้าพุทโธหาย พุทโธหาย ถ้ามีความสามารถมันเป็นไปได้ก็คือเป็นไป ถ้ามันยังไม่เป็นไปได้ อย่าเอาไปเป็นยาพิษ อย่าเอาไปเป็นสิ่งที่กลับมากดดันเราเอง
เป้าหมายคือถ้ามันจะหายก็สาธุ เราได้เห็นปรากฏการณ์ที่พุทโธหาย ปรากฏการณ์ตามความเป็นจริง โอ้โฮ! สุดยอด ถ้าเรายังไม่เห็นปรากฏการณ์นั้น เราก็พยายามทำของเราไปเรื่อยๆ อย่าเอาสิ่งเป้าหมายนั้นมากดดันตัวเอง แล้วจะเป็นทุกข์ซ้ำสองไง
นี่ก็ทุกข์มาแล้วรอบหนึ่งนะ แหวนเพชรๆ เขาเขียนชมเรามานะ เขาบอกว่าเขามีแหวนเพชรวงหนึ่งยังทิ้งไม่ได้เลย แต่หลวงพ่อมีสิบวง
กูตกกะใจเลย มึงให้อวิชชากูสิบตัวเลยนะ มึงให้พญามารกูสิบตัว โอ๋ย! กูไม่อยากได้ กูไม่ต้องการ นี่ตกกะใจเลย
แต่คราวนี้มาเจอนี่ว่าพุทโธหาย พุทโธหาย
นี่เราคาดหมายผิดๆ ทั้งนั้นน่ะ
ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก พระพุทธเจ้าเป็นปัจจัตตัง รู้จำเพาะตน ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกรู้จำเพาะตน ปัจจัตตังคือความเป็นจริง ให้รู้จริงเห็นจริงขึ้นมาตามความเป็นจริงของเราเถอะ เราทำของเรา
สัจธรรมเป็นสัจธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์นะ ถ้าใครทำได้ ทำเป็นประโยชน์กับคนนั้น นี่ศาสนาประจำหัวใจ ศาสนาประจำใจของเรา เราค้นคว้า
เราเกิดเป็นมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิต เราเห็นคุณค่าแล้วเราพยายามทำของเรา ถ้าได้ประโยชน์กับเรา นั้นเราจะเป็นชาวพุทธที่มีคุณธรรม เอวัง